แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 26
1
มอเตอร์ไซด์ใหม่ 2025 ยามาฮ่า Yamaha Exciter 155 VVA ปี 2025
79,500 บาท

ยามาฮ่า Yamaha Exciter 155 VVA ปี 2025
Yamaha Exciter 155 สัมผัสประสบการณ์ความแรง ที่ความเร้าใจฝังลึกอยู่ใน R-DNA ท้าทายไปให้สุดกับ 3 สีใหม่ สีเทา-เขียว Mat Silver, สีแดง-เทา Vivid Red, สีน้ำเงิน GP Blue ลวดลายกราฟิกใหม่บนตัวรถที่โดดเด่น เสริมลุคให้ดูสปอร์ต พร้อมความคุ้มค่าด้วยการรับประกันนานถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              Yamaha
   รุ่น                    ยามาฮ่า Yamaha Exciter 155 VVA ปี 2025
   ประเภทรถ         รถครอบครัวกึ่งสปอร์ต
   ปีที่เปิดตัว          2025
   ราคา                 79,500 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์                  เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์                     แบบเฟืองขบกันคงที่ สปอร์ต 6 ระดับ
   รายละเอียดเครื่องยนต์      4 จังหวะ 4 วาล์ว สูบเดี่ยว SOHC
   ระบบระบายความร้อน       น้ำ
   ระบบสตาร์ท                    สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      155 CC
   แบบเครื่องยนต์                 4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด                 T.C.I.
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง      เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, แก๊สโซฮอล์ E20, เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                หัวฉีด
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)        5.4 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน             ล้อหน้า เทเลสโคปิค, ล้อหลัง โช้คอัพหลังเดี่ยว ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม
   ระบบเบรค                     ล้อหน้า ดิสก์เบรก (เดี่ยว แม่ปั๊มล่าง 2 ลูกสูบ พร้อมระบบ ABS), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (เดี่ยว)
   แบบวงล้อ                      แม็ก
   ขนาดยาง                       ล้อหน้า 90/80-17M/C 46P, ล้อหลัง 120/70-17M/C 58P
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)            1,975 x 665 x 1,105 ความสูงเบาะ 795
   น้ำหนักตัวรถ                               123.00 กก.

2
บริการด้านอาหาร: อาหารช่วยเร่งการเผาผลาญ ช่วยลดไขมันสะสม ลดแคลอรี่ส่วนเกิน

อาหารบางอย่างสามารถช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ โดยเฉพาะอาหารจากพืชที่มีไขมันอิ่มตัวน้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยในการรักษาระดับไขมันที่ดีต่อสุขภาพและช่วยส่งเสริมการเผาผลาญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น     

ถึงแม้ว่าการรับประทานอาหารจะเป็นการเติมพลังงานให้กับร่างกาย และช่วยให้เรามีแรงในการทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่การรับประทานอาหารบางอย่างมากเกินไปก็สามารถทำให้เกิดการสะสมพลังงานได้เช่นกัน

อาหารที่กระตุ้นการเผาผลาญไม่ว่าจะเป็นธัญพืชเต็มเมล็ด ผลไม้ ผัก และพืชตระกูลถั่ว อาหารเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ซึ่งจุลินทรีย์ที่สมดุลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของระบบเผาผลาญ รวมถึงยังช่วยดูดซึมสารอาหารที่ดีและลดการอักเสบได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีศักยภาพในการปรับปรุงระบบเผาผลาญในร่างกาย

 
7 อาหารช่วยเร่งการเผาผลาญ

 
1. ชาเขียว

ชาเขียวมีคาเทชินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญและเสริมการเกิดออกซิเดชันของไขมัน นอกจากนี้ชาเขียวยังมีคาเฟอีนในปริมาณอีกเล็กน้อย ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วทำให้สารเหล่านี้สามารถกระตุ้นระบบประสาทและเพิ่มการเผาผลาญไขมัน และนำไปสู่การกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในที่สุด

 
2. ถั่ว

ถั่วหลากชนิดเป็นแหล่งโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดี ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญและทำให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น ถั่วยังมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ซึ่งหมายความว่าสามารถช่วยป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งจะส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงานที่ดี

 
3. อัลมอนด์

อาหารกระตุ้นการเผาผลาญอีกอย่างที่ดีคืออัลมอนด์ เพราะเต็มไปด้วยโปรตีน ไขมันดี และไฟเบอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มการเผาผลาญและส่งเสริมการลดน้ำหนัก สารอาหารเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มความอิ่มและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ได้ นอกจากนี้การรับประทานอัลมอนด์ยังช่วยให้กระบวนการย่อยอาหารช้าลง ส่งเสริมการปลดปล่อยพลังงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 
4. ผักโขม

ผักโขมมีแคลอรีต่ำและมีไฟเบอร์สูง จึงทำให้เป็นอาหารที่กระตุ้นการเผาผลาญได้ดี นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กและแมกนีเซียมสูง รวมถึงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินช่วยให้สุขภาพเซลล์โดยรวมดีขึ้น

 
5. เมล็ดเจีย

เมล็ดเจียอุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีน และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเมื่อบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดสารคล้ายเจลในกระเพาะอาหาร ซึ่งช่วยให้การย่อยอาหารทำงานได้ช้าลง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และทำให้การปล่อยพลังงานเข้าสู่ร่างกายเป็นไปอย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง

 
6. ผลเบอร์รี่

ผลเบอร์รี่มีแคลอรีต่ำและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงโดยเฉพาะแอนโทไซยานิน บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และสตรอเบอร์รี่สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญและช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ความไวของอินซูลินดีขึ้นและช่วยลดการอักเสบ นอกจากนี้ปริมาณไฟเบอร์ในผลเบอร์รี่ยังช่วยย่อยอาหารและช่วยส่งเสริมอัตราการเผาผลาญให้ดีขึ้นด้วย

 
7. ขิง

ขิงมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายและช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรี่ส่วนเกินได้มากขึ้น ช่วยกระตุ้นการผลิตเอนไซม์ย่อยอาหาร ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและนอกจากนี้ขิงยังมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบที่ส่งผลทางอ้อมต่อระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายได้

3
การจัดฟันเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line มีข้อดีอย่างไรบ้าง

การจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line เป็นการรักษาทางทันตกรรมสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4-15 ปี ที่มีปัญหาในเรื่องของโครงสร้างใบหน้า ปัญหากระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาในเรื่องของกล้ามเนื้อใบหน้า ที่เป็นองค์ประกอบสำหรับของโครงสร้างบริเวณใบหน้า โดยในการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line นั้น จะช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ตามหลักการทางทันตกรรมแล้ว หากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ


เนื่องจากเด็กในวัยนี้ ยังสามารถปรับและแก้ไขโครงสร้างหน้าด้วยกลไกตามธรรมชาติได้อยู่นั่นเอง เด็กๆหลายคน ส่วนใหญ่แล้ว มักจะมีพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาของรูปหน้าและการขึ้นของฟัน ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการดูดนิ้ว การดูดขวดนม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลถึงการขึ้นของลักษณะฟัน พ่อแม่ผู้ปกครอง หากได้ลองสังเกตพฤติกรรมของลูกน้อยของท่าน และถ้าหากว่ามีพฤติกรรมดังกล่าว ก็ควรพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์ เพื่อทีจะได้ทราบถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับบุตรหลานของท่านในอนาคต สำหรับใครที่สนใจการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line และกำลังตัดสินใจเพื่อให้ลูกน้อยเข้ารับการรักษา ก็ควรที่จะศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย

แต่ในวันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงเรื่องของข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟันที่เรียกว่า EF Line ว่ามีประโยชน์ต่อลูกน้อยของเราอย่างไรบ้าง การรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line นั้น สำหรับเครื่องมือจัดฟัน EF Line มีลักษณะเป็นชิ้นยางสี ที่ลูกน้อยของท่านควรที่จะสวมใส่เครื่องมือจัดฟัน EF Line วันละอย่างน้อย 10 ชั่วโมงจะได้ผลดีและเพื่อให้ฟันเข้าที่อย่างรวดเร็ว ซึ่งในขณะหลับตอนกลางคืน เครื่องมือการจัดฟัน  EF line จะทำงานด้วยการบังคับให้ขากรรไกรล่างอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับขากรรไกรบน ส่งผลให้เกิดการปรับตัวของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบ สู่สภาวะที่สมดุล ซึ่งก็เป็นผลย้อนกลับไป เป็นการควบคุมตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรที่เปลี่ยนไปให้สมดุลด้วย เป็นลักษณะเสริมกันโดยอัตโนมัติ


ดังนั้น เครื่องมือ EF Line จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของขนาดและรูปร่างของกระดูกขากรรไกรในทิศทางที่เหมาะสม ช่วยให้มีการปรับตำแหน่งของฟัน โดยมีเหตุมาจากแรงกระทำของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบนั่นเอง สำหรับข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF Line ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้า ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น และที่สำคัญยังสามารถส่งเสริมให้เด็กใส่ใจในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันมากยิ่งขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาฟันผุในเด็กด้วย ทั้งหมดนี้ก็คือข้อดีของการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line เพื่อให้เด็กได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และมีความมั่นใจในบุคลิกภาพของตัวเอง ทำให้มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น


หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาลูกน้อยหรือบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจประเมินช่องปากเบื้องต้น เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือการจัดฟัน EF Line สามารถเข้ามาปรึกษากับทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ ทางเรามีทันตแพทย์ที่จะคอยแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้อง ทางทันตแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ในด้านของการจัดฟันในเด็ก จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ลูกน้อยและบุตรหลานของท่านจะมีฟันที่แข็งแรง เรียงตัวกันอย่างสวยงาม ทั้งยังมีใบหน้าที่เข้าที่เข้าทาง อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้ได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจ มีบุคลิกภาพที่ดี และสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นด้วย

4
สร้างจุดเด่นให้เมนูสุกี้ อร่อยเข้มข้น สามารถนำไปสร้างรายได้

การสร้างจุดเด่นให้เมนูสุกี้ อร่อยเข้มข้น เพื่อนำไปสร้างรายได้นั้น ต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ วัตถุดิบคุณภาพ และการนำเสนอที่น่าสนใจ นี่คือแนวทางและไอเดียที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้:

1. พัฒนาน้ำจิ้มสุกี้สูตรพิเศษ "เข้มข้น จัดจ้าน":

หัวใจสำคัญ: น้ำจิ้มคือตัวชูโรงของสุกี้ ลองคิดค้นสูตรน้ำจิ้มที่ไม่เหมือนใคร โดยอาจจะปรับจากสูตรดั้งเดิม หรือสร้างสรรค์รสชาติใหม่ที่ถูกปากกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ความเข้มข้น: เน้นรสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อม มีมิติ ไม่หวานหรือเค็มโดดจนเกินไป
ความหลากหลาย: อาจมีน้ำจิ้มให้เลือกหลายแบบ เช่น น้ำจิ้มสุกี้โบราณ, น้ำจิ้มสุกี้พริกสด, น้ำจิ้มสุกี้เต้าหู้ยี้เข้มข้น, หรือน้ำจิ้มซีฟู้ดสำหรับคนชอบรสจัดจ้าน
วัตถุดิบลับ: ลองเพิ่มวัตถุดิบลับเฉพาะของคุณ เช่น สมุนไพรบางชนิด, เครื่องเทศพิเศษ, หรือซอสโฮมเมด
ความสดใหม่: ใช้วัตถุดิบสดใหม่ในการทำน้ำจิ้ม เช่น พริก กระเทียม รากผักชี มะนาว


2. คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ "สด ใหม่ น่าทาน":

เนื้อสัตว์: เลือกเนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อไก่ ส่วนที่มีคุณภาพดี สดใหม่ อาจมีตัวเลือกเนื้อหมักสูตรพิเศษของร้าน
อาหารทะเล: หากมีเมนูสุกี้ทะเล ควรเลือกอาหารทะเลที่สดใหม่ ไม่คาว เช่น กุ้งตัวโต ปลาหมึกกรอบ หอยแมลงภู่สด
ผักสด: เน้นผักสด กรอบ หลากหลายชนิด เช่น ผักบุ้ง กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ขึ้นฉ่าย วุ้นเส้น เห็ดต่างๆ
ลูกชิ้น/เต้าหู้: เลือกลูกชิ้นและเต้าหู้ที่มีคุณภาพดี อาจมีลูกชิ้นโฮมเมดหรือเต้าหู้ทำเองเป็นจุดเด่น


3. สร้างสรรค์ชุดสุกี้ "สุดคุ้ม อิ่มอร่อย":

ชุดเริ่มต้น: สำหรับทาน 1-2 ท่าน เน้นวัตถุดิบพื้นฐานในราคาที่เข้าถึงง่าย
ชุดครอบครัว: สำหรับทาน 3-4 ท่าน มีความหลากหลายของเนื้อสัตว์และผักมากขึ้น
ชุดพรีเมียม: เน้นวัตถุดิบเกรดพิเศษ เช่น เนื้อวากิว อาหารทะเลสดใหม่ หรือเห็ดนำเข้า
ชุดมังสวิรัติ/วีแกน: ตอบโจทย์ผู้ทานมังสวิรัติด้วยผัก เต้าหู้ และลูกชิ้นเจหลากหลายชนิด พร้อมน้ำจิ้มสูตรพิเศษ
ชุด DIY: ให้ลูกค้าเลือกวัตถุดิบที่ต้องการได้เอง


4. เพิ่มความพิเศษและลูกเล่น:

น้ำซุปหลากหลาย: มีน้ำซุปให้เลือกมากกว่า 1 ชนิด เช่น น้ำซุปใส, น้ำซุปดำ, น้ำซุปต้มยำ, หรือน้ำซุปหม่าล่า (หากกลุ่มเป้าหมายชื่นชอบ)
ไข่ไก่สด: เสิร์ฟพร้อมไข่ไก่สดสำหรับใส่ลงในน้ำซุปเพิ่มความอร่อย
วุ้นเส้น/บะหมี่: มีตัวเลือกเส้นให้ลูกค้าเลือกหลากหลาย
กระเทียมเจียว/พริกน้ำส้ม: เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงเพิ่มรสชาติ
ของทานเล่น: อาจมีของทานเล่นระหว่างรอสุกี้ เช่น เกี๊ยวทอด, เฟรนช์ฟรายส์
เครื่องดื่ม: มีเครื่องดื่มหลากหลายให้เลือก


5. การนำเสนอที่น่าสนใจ "ดึงดูดใจตั้งแต่แรกเห็น":

จัดวางสวยงาม: จัดชุดสุกี้ให้ดูน่าทาน สีสันสดใส
บรรจุภัณฑ์: หากขายออนไลน์ ควรเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย เก็บความร้อนได้ดี และสวยงาม
ภาพถ่าย: ถ่ายภาพชุดสุกี้และน้ำจิ้มของคุณให้สวยงาม น่าดึงดูด สำหรับโปรโมทออนไลน์


6. การตลาดออนไลน์เพื่อสร้างรายได้:

โปรโมทจุดเด่น: เน้นย้ำความอร่อยเข้มข้นของน้ำจิ้ม สูตรพิเศษ วัตถุดิบคุณภาพ และความคุ้มค่าของชุดสุกี้
ช่องทางหลากหลาย: ขายผ่านโซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram), แอปพลิเคชันส่งอาหาร (GrabFood, LINE MAN, foodpanda), หรือสร้างร้านค้าออนไลน์
คอนเทนต์น่าสนใจ: โพสต์รูปภาพ/วิดีโออาหารที่น่าทาน, รีวิวจากลูกค้า, โปรโมชั่นพิเศษ
โปรโมชั่น: จัดโปรโมชั่นเปิดร้าน, โปรโมชั่นตามเทศกาล, หรือส่วนลดสำหรับลูกค้าใหม่/ลูกค้าประจำ
การมีส่วนร่วม: ตอบคำถามลูกค้าอย่างรวดเร็ว ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมนูและโปรโมชั่น
สร้างฐานลูกค้าประจำ: มีระบบสะสมแต้ม หรือมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อบ่อย


7. การตั้งราคาขาย:

คำนวณต้นทุน: วัตถุดิบ, ค่าบรรจุภัณฑ์, ค่าแก๊ส/ไฟฟ้า, ค่าแรง (ถ้ามี)
วิเคราะห์ราคาคู่แข่ง: สำรวจราคาชุดสุกี้ออนไลน์ในพื้นที่ของคุณ
พิจารณาคุณภาพ: ตั้งราคาให้เหมาะสมกับคุณภาพวัตถุดิบและความพิเศษของน้ำจิ้ม
กำหนดกำไรที่ต้องการ: ตั้งเป้าหมายกำไรที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
ราคาตามขนาด/ชุด: กำหนดราคาที่แตกต่างกันสำหรับชุดสุกี้ขนาดต่างๆ


ตัวอย่างการตั้งราคา (สำหรับอ้างอิง):

ชุดเริ่มต้น (1-2 ท่าน): 250 - 350 บาท
ชุดครอบครัว (3-4 ท่าน): 450 - 600 บาท
ชุดพรีเมียม: 700 บาทขึ้นไป (ตามวัตถุดิบ)
น้ำจิ้ม (แยกขาย): ขวดเล็ก 50 - 80 บาท, ขวดใหญ่ 100 - 150 บาท


ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม:

ความสะอาด: ให้ความสำคัญกับความสะอาดของวัตถุดิบและกระบวนการทำอาหาร
ความรวดเร็วในการจัดส่ง: หากขายออนไลน์ ควรมีระบบจัดส่งที่มีประสิทธิภาพ
รับฟังความคิดเห็น: นำคำติชมของลูกค้ามาปรับปรุงและพัฒนาเมนู
การสร้างรายได้จากเมนูสุกี้ต้องอาศัยความอร่อยที่โดดเด่นของน้ำจิ้ม วัตถุดิบคุณภาพ การนำเสนอที่น่าสนใจ และการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ หากคุณสามารถสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ได้ โอกาสในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนก็มีสูงค่ะ!

5
ขายฟรี โพสประกาศฟรี / motor expo 2025: ฟอร์ด Ford Everest Platinum V6 4x4 10AT ปี 2024
« เมื่อ: วันที่ 14 เมษายน 2025, 15:55:24 น. »
motor expo 2025: ฟอร์ด Ford Everest Platinum V6 4x4 10AT ปี 2024
2,279,000 บาท

ฟอร์ด Ford Everest Platinum V6 4x4 10AT ปี 2024
Ford Everest Platinum V6 4x4 10AT รุ่นย่อยใหม่ล่าสุดของรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาความเป็นเลิศในการใช้ชีวิตขณะที่ยังคงแสวงหาการผจญภัย ด้วยสมรรถนะและเทคโนโลยีที่เหนือชั้น ดีไซน์ที่เน้นความเท่ ดุดัน เรียบหรูตามแบบฉบับแพลทินัม รวมถึงอีกขั้นของความหรูหราและสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร มาพร้อมขุมพลังใหม่เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร วี6 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับความนิยมมายาวนาน มีความเสถียรและทนทาน ด้วยวัสดุที่ทำจากเหล็กหล่อแกรไฟต์เพื่อให้การทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำลังและแรงบิดมากขึ้น สำหรับการลากจูงและการขับขี่แบบออฟโรดทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E- Shifter

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             Ford
   รุ่น                ฟอร์ด Ford Everest Platinum V6 4x4 10AT ปี 2024
   ประเภทรถ           รถอเนกประสงค์ SUV
   ปีที่เปิดตัว           2024
   ราคา              2,279,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
อุปกรณ์ชุดแต่ง (กระจังหน้าขนาดใหญ่ดีไซน์ใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฟอร์ด เอเวอเรสต์ แพลทินัม พร้อมตัวอักษร PLATINUM สีโครเมียม ตามจุดต่างๆ)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว (LED)
ไฟตัดหมอก (หน้า LED)
ปัดน้ำฝนกระจกหลัง
ไฟท้าย LED
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (สีดำ)
ราวหลังคา (สีเงินโครเมียมแบบยกสูง)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ,ระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน)
ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบพิเศษ (ทำงานอัตโนมัติ)
ไฟหน้า LED (แบบเมทริกซ์ แอลอีดี)
ขนาดยางหน้า-หลัง (275/45R21)
ไฟ Daytime Running Lights (แบบ LED รูป C-Clamp)
ล้ออัลลอย (21 นิ้ว)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
ตกแต่งภายใน (ตกแต่งด้วยสีดำมอบความดุดันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยโลโก้ซิกเนเจอร์ PLATINUM)
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์ (3 ตำแหน่ง พร้อมช่องต่อไฟ 230V (400W) 1 ช่อง)
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้
ภายในโทนสีเบจ
กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ พร้อมช่องต่อ USB)
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (ช่องจ่ายไฟในห้องสัมภาระ)
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (6 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ (Normal), โหมดประหยัด (Eco), โหมดลื่น (Slippery), โหมดโคลน (Mud/Ruts) โหมดทราย (Sand) และโหมดลากจูง (Tow/Haul))

สเปค
   เครื่องยนต์              เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร วี6 มอบพละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)     2,956 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)   250 แรงม้า
   ระบบเกียร์              เกียร์อัตโนมัติ 10AT
   รูปแบบเกียร์            แบบ E- Shifter
   ระบบเบรค ABS         มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรค EBD และระบบ G-Sensor)
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง    ดีเซล, ไบโอดีเซล B5
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)     N/A
   ระบบจ่ายน้ำมัน         หัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่น คอมมอนเรล

   น้ำหนักตัวรถ           -
   ประเภทยางรถยนต์      -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)        ล้ออัลลอย (21 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน        ขับเคลื่อนสี่ล้อ

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
ตัวถังนิรภัย (คานเหล็กนิรภัยด้านข้าง)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค
สัญญาณกันขโมย
กุญแจรีโมท (อัจฉริยะ พร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ)
กุญแจนิรภัย (Immobilizer)
ไฟเบรกดวงที่ 3
สัญญาณเตือนถอยหลัง (และด้านหน้า)
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) , ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ,)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
หลอดไฟพิเศษระบบ Daytime Running Lights(DRL)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Fully Automated Active Park Assist System) , ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS - Blind Spot Information System) พร้อม ระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert))
เข็มขัดนิรภัย (คู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ)
พวงมาลัยยุบตัวได้
กระจกนิรภัย
คานเหล็กเสริมนิรภัย
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HLA,และระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ,ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา)
อื่นๆ (ระบบตรวจจับลมยาง, ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน, ระบบช่วยควบคุมรถหลังจากชน, ? ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ (Evasive Steering Assist),ดิฟล็อกหลังแบบไฟฟ้า,ช่วยโทรฉุกเฉิน)
กล้อง (มองงรอบคัน 360 องศา)
เบรกมือไฟฟ้า

6
หมอประจำบ้าน: ประจำเดือนไม่มา/ประจำเดือนขาด (Amenorrhea)

ประจำเดือนไม่มา หรือประจำเดือนขาด เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทั่วไป

ปกติผู้หญิงจะเริ่มมีประจำเดือนมาครั้งแรกระหว่างอายุ 11-14 ปี ถ้าเลยช่วงอายุนี้ไปแล้ว ยังไม่มีประจำเดือนมา ก็ถือว่าผิดปกติ ในที่นี้ขอเรียกว่า ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา (primary amenorrhea)

ผู้หญิงบางคนเคยมีประจำเดือนมาเป็นประจำ แล้วอยู่ ๆ ก็ไม่มาหรือขาดหายไป ด้วยสาเหตุต่าง ๆ ในที่นี้ขอเรียกว่า ภาวะประจำเดือนขาด (secondary amenorrhea) ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยกว่าภาวะประจำเดือนไม่เคยมา

สาเหตุ

ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา อาจมีสาเหตุเกี่ยวกับความผิดปกติของรังไข่หรือฮอร์โมนในร่างกาย หรืออาจมีความผิดปกติทางโครงสร้าง (กายวิภาค) ของมดลูก หรือช่องคลอด เช่น เยื่อพรหมจรรย์ไม่เปิด ไม่มีมดลูก รังไข่ หรือช่องคลอดมาแต่กำเนิด เป็นต้น

แต่ส่วนมากจะมีสาเหตุจากการเจริญเติบโตเป็นสาว (แตกเนื้อสาว) ช้าโดยธรรมชาติ โดยไม่มีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น และมักจะมีประจำเดือนมาก่อนอายุครบ 16 ปี ถ้าเลยจากนี้ไปแล้วก็น่าจะมีสาเหตุที่ผิดปกติต่าง ๆ

ภาวะประจำเดือนขาด ที่พบได้บ่อย ก็คือ การตั้งครรภ์ การฉีดยาคุมกำเนิด หลังคลอดบุตร หรือให้นมบุตร ความเครียดทางจิตใจ เป็นต้น ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุจากกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง เนื้องอกของต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไตหรือรังไข่ การผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ทั้ง 2 ข้าง โรคชีแฮน โรคคุชชิง ตับแข็ง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ภาวะไตวายเรื้อรัง ภาวะโลหิตจาง รูปร่างผอมหรืออ้วนไป ร่างกายอ่อนแอจากการเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นต้น

สาเหตุดังกล่าวได้สรุปไว้ใน ตรวจอาการประจำเดือนขาด/ไม่มา


อาการ

ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา บิดามารดาหรือตัวผู้ป่วยเอง สังเกตว่าประจำเดือนครั้งแรกยังไม่มา ทั้ง ๆ ที่เลยอายุควรจะมีประจำเดือน (อายุเลย 14 ปี)

โดยทั่วไปมักจะไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ นอกจากมีสาเหตุจากความผิดปกติเกี่ยวกับรังไข่หรือฮอร์โมนก็อาจไม่มีการเจริญเติบโตทางเพศ เช่น หน้าอกแฟบเหมือนผู้ชาย ไม่มีขนรักแร้ หรือขนที่อวัยวะเพศ เป็นต้น

ในรายที่เกิดจากเยื่อพรหมจรรย์ไม่เปิด (imperforate hymen) ผู้ป่วยมักมีเลือดประจำเดือนออกทุกเดือน แต่จะคั่งอยู่ในช่องคลอดเพราะเยื่อพรหมจรรย์ปิดกั้นไว้ ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดท้องเป็นประจำทุกเดือน และอาจตรวจพบเยื่อพรหมจรรย์โป่งพองขึ้น เนื่องจากมีก้อนเลือดที่คั่งในช่องคลอดคอยดันเยื่อนี้ให้โป่งออก

ภาวะประจำเดือนขาด ผู้ป่วยซึ่งปกติเคยมีประจำเดือนมาเป็นประจำทุกเดือน อยู่ ๆ ก็ไม่มีประจำเดือนมา ส่วนมากจะไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ นอกจากในรายที่เกิดจากการตั้งครรภ์ อาจมีอาการแพ้ท้อง

ในรายที่เกิดจากเนื้องอกของรังไข่ ต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง อาจมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง ตามืดมัวลงเรื่อย ๆ มีหนวดและขนขึ้นผิดธรรมชาติ น้ำนมออกผิดธรรมชาติ เป็นต้น

ในรายที่เป็นโรคชีแฮน ก็อาจมีอาการอ่อนเพลีย เฉื่อยเนือย เต้านมแฟบ ขนรักแร้และขนที่อวัยวะเพศร่วง

ในรายที่เกิดจากโรคกังวลหรือซึมเศร้า ก็มักมีความวิตกกังวล นอนไม่หลับ เบื่อหน่าย ท้อแท้สิ้นหวัง

นอกจากนี้ อาจมีอาการแสดงต่าง ๆ ตามสาเหตุที่พบ เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง โรคคุชชิง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ไตวายเรื้อรัง ซีด เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาหรือขาดประจำเดือน เช่น การตั้งครรภ์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง โรคคุชชิง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ไตวายเรื้อรัง ภาวะซีด เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ และตรวจหาสาเหตุโดยการตรวจภายในช่องคลอด ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ และอาจต้องทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา ถ้ามีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ในรายที่เกิดจากเยื่อพรหมจรรย์ไม่เปิด อาจต้องผ่าตัดเปิดให้มีทางระบายของเลือดประจำเดือน

ในรายที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตตามปกติ (เช่น มีการเจริญของเต้านม มีขนรักแร้ และขนอวัยวะเพศขึ้นตามปกติ) และไม่มีอาการปวดท้อง หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ อาจรอดูจนอายุเกิน 16 ปี ถ้ายังไม่มีประจำเดือนมา แพทย์ก็จะทำการตรวจหาสาเหตุ แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

2. ภาวะประจำเดือนขาด ถ้ามีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย หรือสงสัยว่ามีสาเหตุที่ร้ายแรง แพทย์ก็จะทำการตรวจหาสาเหตุ แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ถ้าเกิดจากการตั้งครรภ์ หรือโรคกังวลใจ ก็ให้การรักษาตามสาเหตุ

ในรายที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัด และร่างกายเป็นปกติดีทุกอย่าง อาจรอดูสัก 3 เดือน ถ้ายังไม่มีประจำเดือนมา แพทย์ก็จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม


การดูแลตนเอง

ถ้าอายุเกิน 16 ปี แล้วประจำเดือนยังไม่มา หรือเคยมีประจำเดือน แต่ประจำเดือนขาดหายไป หรือสงสัยมีความผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่ามีความผิดปกติของประจำเดือน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    ในรายที่จำเป็นต้องกินยาต่อเนื่อง มีการขาดยา ยาหายหรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาหรือขาดประจำเดือน เช่น การตั้งครรภ์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง โรคคุชชิง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ไตวายเรื้อรัง ภาวะซีด เป็นต้น


ข้อแนะนำ

อาการประจำเดือนไม่มาหรือขาดประจำเดือนอาจเกิดจากสาเหตุได้หลากหลาย หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุที่พบ (ตรวจอาการประจำเดือนขาด/ไม่มา)

7
เครื่องมือการจัดฟัน EF LINE ต่างจากการเครื่องมือการจัดฟันเด็กแบบเหล็กจัดฟันอย่างไร

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดฟันในเด็ก สามารถแก้ไขปัญหาฟันที่มความผิดปกติในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเด็กไทยส่วนใหญ่มีการเกิดฟันผุมาก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ผู้ปกครอง และพฤติกรรมในวัยเด็กที่อาจจะมีเข้าข่ายมีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาฟันในอนาคต ซึ่งในความเป็นจริง การเกิดความผิดปกติของการสบฟันที่เกิดกับเด็ก ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตามก็สามารถเกิดได้ทั้งนั้น  ดังนั้น เด็กควรที่จะได้รับการตรวจและรักษาโดยทันตแพทย์จัดฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ดีกว่าเป็นวัยรุ่น ซึ่งเด็กสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี หรือในวัยที่กำลังมีฟันแท้งอกออกมา แต่โดยทั่วไป

การจัดฟันในเด็กอายุต่ำว่า 10 ปี มักเป็นการจัดฟันบางส่วน จุดประสงค์ก็เพื่อการรักษาเฉพาะบริเวณ เพื่อป้องกันเบื้องต้น หรือช่วยลดความรุนแรงของปัญหา ซึ่งเมื่อเด็กโตพอ ก็มักจะต้องจัดฟันทั้งปากต่อไป หรือเหมาะสำหรับการจัดฟันแบบใช้เครื่องมือ EF LINE ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี ได้อย่างดีเลยทีเดียว

เพราะเนื่องจากเด็กบางคนในวัยนี้ ยังไม่สามารถดูแลตัวเองในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาจจะยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์จัดฟันได้ดีเท่าที่ควร จึงเหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันด้วยการใช้เครื่องมือ EF LINE พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก แบบ EF LINE ว่าจะมีความแตกต่างกับการจัดฟันในเด็กที่สวมใส่เครืองมือแบบติดแน่น ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงข้อแตกต่างของการจัดฟันในเด้กแบบ EF LINE และการจัดฟันในเด็กแบบสวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป้นแนวทางในการจัดสินใจพาเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อแก้ไขปัญหาฟัน
 
ในปัจจุบันได้มีการศึกษาในเรื่องของทันตกรรมในเด็ก ซึ่งพบว่า กล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้น จึงมีการออกแบบเครื่องมือเพื่อทำการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อซึ่งต้องร่วมกับการฝึกโดยการออกกำลังกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยปรับการกลืนให้ถูกต้อง โดยเครื่องมือดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า EF LINE ซึ่งเครื่องมือดังกล่าว เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ

ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต  โดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ จนถึงอายุ 15 ปี โดยเครื่องมือในกลุ่มนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างจากการจัดฟันในเด็กที่ใส่เครื่องมือแบบติดแน่น ก็คือ การจัดฟันในเด็กแบบใส่เหล็กจัดฟันนั้น ก็เหมือนกับการจัดฟันในวัยผู้ใหญ่ เพราะใช้เครื่องมือแบบเดียวกัน และมีการดูแลรักษาที่เหมือนกัน เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป เพราะเด็กในวัยนี้ จะสามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้ดีกว่า และจะต้องมีวิธีการดูแลรักษาที่ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้น เครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่น จึงไม่เหมาะสมกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี เพราะยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้นั่นเอง

สำหรับใครที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก รวมไปถึงด้านทันตกรรมในเด็กในด้านอื่นๆด้วย จากประสบการณ์อย่างยาวนานในวงการทันตกรรมทำให้สามารถให้คำปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

8
การออกแบบระบบท่อลมร้อน ควรนึกถึงอะไรบ้าง

การออกแบบระบบท่อลมร้อนเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ, ปลอดภัย, ประหยัดพลังงาน, และตรงตามความต้องการใช้งาน ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรนึกถึงในการออกแบบระบบท่อลมร้อน:


1. ความต้องการความร้อน (Heating Load):

การสูญเสียความร้อนจากพื้นที่: คำนวณปริมาณความร้อนที่สูญเสียจากอาคารหรือพื้นที่ที่ต้องการทำความร้อน ผ่านผนัง, หลังคา, พื้น, ประตู, หน้าต่าง, และฉนวน
ความต้องการความร้อนจากกระบวนการ: หากมีกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่ต้องการความร้อนจากระบบท่อลมร้อน ต้องคำนวณปริมาณความร้อนที่ต้องการ
อัตราการถ่ายเทอากาศ: พิจารณาปริมาณอากาศภายนอกที่เข้ามาในพื้นที่ (infiltration หรือ ventilation) และคำนวณความร้อนที่ต้องใช้ในการทำให้อากาศนั้นมีอุณหภูมิที่ต้องการ


2. การไหลเวียนของอากาศ (Airflow):

ปริมาณลมที่ต้องการ: คำนวณปริมาณลมร้อนที่ต้องจ่ายไปยังแต่ละพื้นที่เพื่อให้สามารถรักษาอุณหภูมิที่ต้องการได้
ความเร็วลม: กำหนดความเร็วลมที่เหมาะสมในท่อและที่ช่องลมจ่าย เพื่อให้การกระจายความร้อนมีประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดเสียงดังรบกวน
แรงดันสถิต (Static Pressure): คำนวณแรงดันสถิตที่ระบบต้องการ เพื่อเลือกพัดลมที่มีขนาดและกำลังที่เหมาะสม
การสูญเสียแรงดันในท่อ: คำนวณการสูญเสียแรงดันเนื่องจากการไหลของอากาศผ่านท่อ, ข้อต่อ, แดมเปอร์, และอุปกรณ์อื่นๆ


3. รูปแบบและขนาดของท่อ (Ductwork Layout and Sizing):

เส้นทางการเดินท่อ: วางแผนเส้นทางการเดินท่อที่สั้นที่สุดและมีสิ่งกีดขวางน้อยที่สุด เพื่อลดการสูญเสียแรงดันและความร้อน
ขนาดท่อ: เลือกขนาดท่อที่เหมาะสมตามปริมาณลมและความเร็วลมที่ต้องการ โดยคำนึงถึงการสูญเสียแรงดันที่ยอมรับได้
ประเภทของท่อ: เลือกประเภทของท่อ (เช่น ท่อกลม, ท่อเหลี่ยม) และวัสดุ (เช่น เหล็กชุบสังกะสี, อลูมิเนียม, สแตนเลส) ที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณ
ข้อต่อและอุปกรณ์: เลือกใช้ข้อต่อ (ข้องอ, สามทาง, ลดขนาด) และอุปกรณ์ (แดมเปอร์, วาล์ว) ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับการใช้งาน


4. แหล่งกำเนิดความร้อน (Heat Source):

ประเภทของแหล่งกำเนิด: พิจารณาประเภทของเครื่องทำลมร้อน (เช่น เตาเผา, ฮีตเตอร์ไฟฟ้า, ฮีตปั๊ม) และความสามารถในการผลิตความร้อน
ตำแหน่งการติดตั้ง: กำหนดตำแหน่งที่เหมาะสมของเครื่องทำลมร้อน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพการกระจายลมร้อน, ความปลอดภัย, และความสะดวกในการบำรุงรักษา
การเชื่อมต่อกับระบบท่อลม: ออกแบบการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องทำลมร้อนกับระบบท่อลมให้มีประสิทธิภาพและป้องกันการรั่วไหล


5. การควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Control):

เทอร์โมสตัท: เลือกประเภทและตำแหน่งของเทอร์โมสตัทที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถควบคุมอุณหภูมิในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ
ระบบควบคุมโซน (Zoning): หากต้องการควบคุมอุณหภูมิแยกในแต่ละพื้นที่ ควรออกแบบระบบควบคุมโซนด้วยแดมเปอร์และเทอร์โมสตัทแยก
ระบบอัตโนมัติ (Automation): พิจารณาการใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติเพื่อปรับอุณหภูมิและปริมาณลมตามความต้องการและตารางเวลา


6. ฉนวนกันความร้อน (Insulation):

ประเภทและความหนาของฉนวน: เลือกประเภทและความหนาของฉนวนที่เหมาะสมกับอุณหภูมิของลมร้อนและสภาพแวดล้อม เพื่อลดการสูญเสียความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ
การติดตั้งฉนวน: ออกแบบให้มีการติดตั้งฉนวนอย่างทั่วถึงและไม่มีช่องว่าง


7. เสียงและการสั่นสะเทือน (Noise and Vibration):

การเลือกพัดลม: เลือกพัดลมที่มีระดับเสียงต่ำและมีการติดตั้งที่ช่วยลดการสั่นสะเทือน
การติดตั้งท่อ: ออกแบบการติดตั้งท่อให้มีการรองรับที่เหมาะสม เพื่อลดการสั่นสะเทือนที่อาจเกิดขึ้น
อุปกรณ์ลดเสียง (Sound Attenuators): หากจำเป็น ควรพิจารณาการติดตั้งอุปกรณ์ลดเสียงในระบบท่อลม


8. ความปลอดภัย (Safety):

วัสดุไม่ติดไฟ: เลือกใช้วัสดุที่ไม่ติดไฟหรือลามไฟสำหรับท่อและอุปกรณ์
การป้องกันอัคคีภัย: พิจารณาการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัย เช่น Fire Damper ในบริเวณที่ท่อลมผ่านผนังหรือพื้นกันไฟ
การเข้าถึงเพื่อบำรุงรักษา: ออกแบบให้สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ได้ง่ายสำหรับการตรวจสอบและบำรุงรักษา


9. การประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency):

การลดการสูญเสียความร้อน: ออกแบบระบบให้มีการสูญเสียความร้อนน้อยที่สุด โดยการเลือกเส้นทางท่อที่สั้น, ใช้ฉนวนที่มีประสิทธิภาพ, และป้องกันการรั่วไหล
การควบคุมตามความต้องการ: ใช้ระบบควบคุมโซนและระบบอัตโนมัติเพื่อปรับการทำงานของระบบตามความต้องการจริง
การนำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ (Heat Recovery): หากเป็นไปได้ ควรพิจารณาการนำความร้อนทิ้งจากกระบวนการอื่นๆ กลับมาใช้ในการทำความร้อน


10. งบประมาณ (Budget):

ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง: พิจารณาค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัสดุ, ค่าแรงติดตั้ง, และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน: ประเมินค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว และพิจารณาระบบที่ประหยัดพลังงาน
ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา: พิจารณาค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบในระยะยาว


11. ข้อกำหนดและมาตรฐาน (Codes and Standards):

ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดท้องถิ่น: ตรวจสอบและปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งระบบ HVAC
อ้างอิงมาตรฐานอุตสาหกรรม: ออกแบบและติดตั้งตามมาตรฐานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง


การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบและครบถ้วน จะช่วยให้การออกแบบระบบท่อลมร้อนในโรงงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และตรงตามความต้องการใช้งานอย่างแท้จริง ควรปรึกษาวิศวกรเครื่องกลที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบระบบ HVAC เพื่อให้ได้ระบบที่ดีที่สุด

9
บริการทำความสะอาด: กำจัดไรฝุ่นในห้องนอน ให้หายเกลี้ยง

ถ้าหากพูดถึงฝุ่นถือว่าเป็นปัญหาที่กวนใจเหล่าแม่บ้านที่จะต้องทำความสะอาดบ้าน เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ ยิ่งนานวันจำนวนฝุ่นก็จะยิ่งเยอะ และอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนในบ้าน เพราะฝุ่นสามารถเป็นอันตรายต่อเราได้ และถ้าปล่อยไว้นานวันเข้า ฝุ่นสามารถสะสมจนอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อเรา โดยเฉพาะภายในบ้าน ที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคอื่นๆ รวมทั้งอันตรายจากสารเคมีต่างๆ ที่ติดมากับฝุ่นเหล่านั้นด้วย

ดังนั้น การดูแลรักษาทำความสะอาดบ้านนั้น ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะกับห้องนอนห้องที่สำคัญที่สุดของบ้านและเป็นห้องที่เราใช้พักผ่อน เพราะบางครั้งสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคต่างๆเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ อย่างเช่น ไรฝุ่น ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ไรฝุ่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดผื่นคัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นภูมิแพ้

หากมีการไปสัมผัสโดนไรฝุ่นที่ตายแล้ว ร่างกายก็จะสร้างภูมิต้านทานและปล่อยสารเคมีออกมาทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคือง มีอาการบวมเกิดขึ้นที่ผิวหนัง บางรายอาจมีอาการไอหรือจามอาจลุกลามไปจนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะมองข้าม เพราะบ้านเป็นสถานที่ที่เราจะต้องอยู่ทุกวัน หากมีฝุ่นก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่

ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการกำจัดไรฝุ่นในห้องนอนหรือแม้กระทั่งในบ้านของเราแบบง่ายๆให้หายเกลี้ยงสะอาดตา ทำให้บ้านน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

การกำจัดไรฝุ่นภายในห้องนอนหรือในบ้าน เราควรเริ่มจากการหมั่นทำความสะอาดบ้านโดยเฉพาะในจุดที่ก่อให้เกิดไรฝุ่นได้ง่าย เพราะจะเป็นบริเวณที่มีฝุ่นสะสมมากที่สุด วิธีกำจัดไรฝุ่นเป็นสิ่งที่ทุกบ้านจำเป็นต้องรู้ ยิ่งในห้องนอน เรียกได้ว่าเป็นเเหล่งเพาะทั้งเชื้อโรค เเบคทีเรียเป็นการหลักที่ทำให้เราเกิดอาการป่วยหรือมีปัญหากับระบบทางเดินหายใจด้วย

ดังนั้น เราจะต้องหมั่นทำความสะอาดห้องนอนอยู่เป็นประจำจัดห้องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปัดกวาดเช็ดถูด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคถือเป็นวิธีที่ช่วยลดปริมาณฝุ่นในห้องของเราได้

นอกจากนี้ จะต้องหมั่นซักเครื่องนอน ทั้ง ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ปลอกหมอนต่างๆ ที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำส่วนหมอนหนุน หมอนข้าง ให้นำไปตากแดด ถือเป็นการช่วยฆ่าเชื้อโรคได้อีกทางหนึ่ง

นอกเหนือจากการซักแล้ว การตากแดดก็สามารถกำจัดไรฝุ่นได้เหมือนกันแต่ในระดับเล็กน้อยหรือบางส่วนเท่านั้น เพราะเมื่อโดนแดด ไรฝุ่นจะหนีไปอยู่อีกฝั่งที่ร้อนน้อยกว่าทำให้มันไม่ตายทั้งหมด การตากแดดสามารถลดความชื้นแบบที่ไรฝุ่นชอบอยู่ถ้าหากตากนานประมาณ 5 ชั่วโมงขึ้นไป ก็จะช่วยลดปริมาณและป้องกันไรฝุ่นได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ในการจัดบ้าน แน่นอนว่า หลายบ้านมีการใช้พรมเป็นสิ่งตกแต่งบ้านแต่หารู้ไม่ว่า พรมเป็นสิ่งที่สะสมฝุ่นได้เป้นอย่างดี หากเป็นไปได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงการปูพรมในห้องนอนเพราะพรมถือเป็นแหล่งสะสมฝุ่น ทำให้ฝุ่นกระจายอยู่ในห้อง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

และอีกหนึ่งวิธีการที่เข้ากับยุคสมัยใหม่ก็คือ การใช้เครื่องฟอกอากาศ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเสริมที่ช่วยลดการสะสมไรฝุ่น ฉะนั้นควรหมั่นทำความสะอาดแผงกรองอากาศของเครื่องตัวอย่างสม่ำเสมออย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาทำความสะอาดเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยนอกจากจะทำให้บรรยากาศในห้องนอนของเรานั้นน่าพักผ่อนแล้วยังช่วยลดปริมาณฝุ่นที่อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้อีกด้วย

ทั้งนี้เรามีบริการทำความสะอาด เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาด สะดวกและถูกสุขลักษณะ มีบริการทำความสะอาดห้องต่างๆ เป็นการดูแลสุขภาพและความปลอดภัย
ของร่างกายอีกทางหนึ่ง เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมี ประสิทธิภาพในทุกสภาพแวดล้อมและทางเรายังมีการทำความสะอาดห้องน้ำ เราคัดสรรตั้งแต่การเลือกน้ำยาล้างห้องน้ำให้เหมาะกับพื้นผิวเหล่านั้น ขัดล้างและตรวจเช็คอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่ดีที่มีส่วนช่วยทำให้มีสุขภาพดีตามไปด้วย

10
หมอประจำบ้าน: ไข้หวัดนก หรือไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก (Bird flu/Avian influenza)

ไข้หวัดนก (ไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีกก็เรียก) จัดเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) อันเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่จากสัตว์ปีกมาสู่คน พบผู้ป่วยโรคนี้ครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2540 ต่อมาเริ่มพบผู้ป่วยในประเทศเวียดนาม และไทย (เมื่อปลายปี พ.ศ. 2546) ในกัมพูชา อินโดนีเซีย และจีน (เมื่อปี พ.ศ. 2548) อาเซอร์ไบจัน อียิปต์ อิรัก ตุรกี จีบูติ (พ.ศ. 2549) ลาว พม่า ไนจีเรีย ปากีสถาน (พ.ศ. 2550)

ไข้หวัดนกพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และมีความรุนแรง ซึ่งมีอัตราตายสูง

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อไข้หวัดนก ซึ่งเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอสายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 เชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้มีอยู่ในนกน้ำที่มีการอพยพย้ายถิ่น นกชายทะเล และนกป่า นกเหล่านี้เป็นพาหะของโรค (ติดเชื้อโดยไม่มีอาการเจ็บป่วย) เป็นส่วนใหญ่ แต่จะปล่อยเชื้อออกมาทางน้ำลาย น้ำมูก และมูลนก แพร่ให้นกธรรมชาติ นกบ้าน ฝูงสัตว์ปีกตามฟาร์มและบ้านเรือน เช่น ไก่ ไก่ชน ไก่งวง ไก่ต๊อก เป็ด ห่าน เป็นต้น ทำให้เกิดโรคระบาดและการตายอย่างรวดเร็วของฝูงสัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่ที่เลี้ยงตามบ้านและฟาร์มที่เป็นโรงเรือนเปิด ส่วนเป็ดในท้องทุ่งเมื่อมีการติดเชื้อชนิดนี้ส่วนหนึ่งจะป่วยและตาย แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นพาหะ (ไม่มีอาการเจ็บป่วย) ซึ่งสามารถแพร่เชื้อให้สัตว์ปีกอื่น ๆ ต่อไป

นอกจากนี้ยังพบว่า เชื้อไข้หวัดนกยังสามารถติดต่อไปยังสัตว์ประเภทเสือ สุนัข แมว และหมู ทำให้สัตว์เหล่านี้ป่วยและตายได้ สำหรับแมวพบว่าสามารถติดต่อจากแมวสู่แมวด้วยกันเองได้อีกด้วย

การติดเชื้อจากสัตว์ปีกมาสู่คน สัตว์ปีกที่ป่วยจะมีเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย น้ำตา และมูลสัตว์ ซึ่งจะปนเปื้อนอยู่ตามตัวของสัตว์ปีกและสิ่งแวดล้อม คนเราสามารถติดเชื้อไข้หวัดนกได้ 2 ทาง ได้แก่

1. การสัมผัสกับสัตว์ปีก (โดยเฉพาะไก่) ที่ป่วยโดยตรง

2. การสัมผัสถูกสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนเชื้อในบริเวณที่เกิดโรคระบาดของสัตว์ปีก เช่น ดิน กรงหรือเล้าสัตว์ น้ำหรืออาหารที่ป้อนสัตว์ เป็นต้น

เชื้อจะติดมากับมือของผู้ป่วย เมื่อเผลอใช้นิ้วมือแยงตา แยงจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุตาและเยื่อบุจมูก

ระยะฟักตัว 2-8 วัน (เฉลี่ย 4 วัน)

กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้ที่คลุกคลีสัมผัสใกล้ชิดกับไก่ที่ป่วย หรืออยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของไข้หวัดนกในฝูงสัตว์ปีก เช่น ผู้ที่เลี้ยงไก่ ทำงานในฟาร์มไก่ ขนย้ายไก่ ชำแหละไก่ เด็กที่เล่นคลุกคลีกับไก่ ผู้ที่ทำหน้าที่ทำลายสัตว์ปีก เป็นต้น

การติดเชื้อจากคนสู่คนแบบไข้หวัดใหญ่นั้นเกิดได้ยาก จะต้องมีการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่น แม่ดูแลลูกที่ป่วย โดยการสัมผัสน้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย และการติดต่อจะสิ้นสุดที่ผู้ติดเชื้อคนที่ 2 (เช่น แม่ที่ติดเชื้อจากลูก) ไม่ติดต่อให้คนที่ 3 ต่อไป

แต่เกรงกันว่า เชื้อไข้หวัดนกอาจกลายพันธุ์โดยการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสไข้หวัดนกกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ของคน เมื่อคนหรือหมูติดเชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน หากเกิดการกลายพันธุ์ก็สามารถติดจากคนสู่คนได้ง่าย และอาจมีการระบาดรุนแรงดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต (ในปี พ.ศ. 2461-2462 มีการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สเปน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกราว 20-40 ล้านคน เกิดจากการกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่โดยการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมในหมู)


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการแบบไข้หวัดใหญ่ คือเริ่มด้วยอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วตัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ บางรายอาจมีอาการตาแดง ปวดท้อง อาเจียน หรือท้องเดินร่วมด้วย

ต่อมาผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการหายใจหอบเนื่องจากปอดอักเสบ ซึ่งอาจเกิดตั้งแต่ 1-16 วัน (ค่ามัธยฐาน 5 วัน) หลังมีไข้ บางรายอาจมีอาการปอดอักเสบหลังจากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินนำมาก่อน โดยไม่มีอาการเจ็บคอ เป็นหวัด ไอก็ได้

นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการท้องเดินรุนแรงนำมาก่อน แล้วตามมาด้วยอาการชัก หมดสติ และตายเนื่องจากภาวะสมองอักเสบก็ได้

ในรายที่เป็นไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรกซ้อนก็จะหายได้เองภายใน 2-7 วัน อาการรุนแรงมักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

บางรายอาจติดเชื้อโดยไม่มีอาการแสดงก็ได้


ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญก็คือ ปอดอักเสบ (ซึ่งเกิดจากไวรัสเป็นส่วนใหญ่) และกลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome/ARDS) ซึ่งอาจเกิดตั้งแต่ 4-13 วัน (ค่ามัธยฐาน 6 วัน) หลังมีไข้ และเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ การเสียชีวิตเกิดตั้งแต่ 9-30 วัน (ค่ามัธยฐาน 12 วัน) หลังมีไข้

นอกจากนี้ ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น หัวใจวาย ไตวาย ตับอักเสบ เลือดออกในปอด (pulmonary hemorrhage) ปอดทะลุ ภาวะพร่องเม็ดเลือดทุกชนิด (pancytopenia) โรคเรย์ซินโดรม กลุ่มอาการโลหิตเป็นพิษ (sepsis syndrome) เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

ไข้ ≥ 38 องศาเซลเซียส

อาจพบอาการน้ำมูกไหล (พบได้ประมาณร้อยละ 50-60 ของผู้ป่วย)

ในรายที่มีปอดอักเสบร่วมด้วย จะพบอาการหายใจหอบ ใช้เครื่องตรวจฟังปอดอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการนำสิ่งคัดหลั่งบริเวณคอหอย โพรงหลังจมูก หรือหลอดลมไปตรวจหาเชื้อไวรัสเอช 5 เอ็น 1 ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น immunofluorescent assay (IFA), reverse transcriptase-poly-merase chain reaction (RT-PCR), real time PCR การแยกเชื้อในเซลล์เพาะเลี้ยง เป็นต้น และทำการตรวจพิเศษ เช่น เอกซเรย์ปอด (พบร่องรอยการอักเสบของปอด) ตรวจเลือด (พบเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ต่ำ เอนไซม์ตับ ได้แก่ AST และ ALT สูง ครีอะตินีนสูง)


การรักษาโดยแพทย์

ถ้าพบผู้ป่วยเป็นไข้ (≥ 38 องศาเซลเซียส) ไข้หวัดหรือไข้ร่วมกับหายใจหอบ และมีประวัติสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายภายใน 7 วันก่อนป่วย หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วันก่อนป่วย หรือพบผู้ป่วยที่สงสัยเป็นไข้หวัดนก ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

ถ้าตรวจพบหรือสงสัยเป็นไข้หวัดนก มักจะต้องรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

การรักษา แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส ได้แก่ โอเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) นาน 5 วัน ยานี้จะใช้ได้ผลดีควรให้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ

ในรายที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า นาน 7-10 วัน

นอกจากนี้ จะให้การรักษาตามอาการหรือภาวะที่พบร่วม เช่น ถ้าหายใจหอบก็ใช้เครื่องช่วยหายใจ และให้ออกซิเจน

ถ้าสงสัยมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ก็ให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่สงสัย

ในรายที่มีภาวะการหายใจล้มเหลว อาจพิจารณาให้สเตียรอยด์ (ซึ่งยังสรุปไม่ได้แน่ชัดถึงประโยชน์ของการใช้ยานี้)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน มักจะมีอัตราตายสูง มักตายภายใน 6-30 วันหลังมีอาการ (เฉลี่ย 9-10 วัน)

ในรายที่มีอาการไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็มักจะรักษาให้หายขาดได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้หลังจากสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ปีกที่มีอาการป่วยหรือตาย หรืออยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของไข้หวัดนกในฝูงสัตว์ปีก หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ หรือเพิ่งกลับจากการเดินทางไปยังประเทศหรือเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดนก ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีกที่มีอาการป่วยหรือตาย และไม่นำสัตว์ปีกพวกนี้มาชำแหละเป็นอาหาร

2. หากจำเป็นต้องสัมผัสสัตว์ปีกในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดนก ให้สวมหน้ากากอนามัย และถุงมือ (ถ้าไม่มีให้สวมถุงพลาสติกหนา ๆ แทน)

3. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ทุกครั้งหลังการสัมผัสสัตว์ปีก น้ำลาย น้ำมูก และมูลของสัตว์ปีก

4. กินเนื้อสัตว์ปีก หรือไข่ที่ปรุงให้สุกแล้ว

5. เมื่อสมาชิกในบ้านเป็นไข้หรือไข้หวัด ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันไข้หวัด (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ในโรคไข้หวัด)

หากสงสัยเป็นไข้หวัดนก ให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว และผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาให้กินยาต้านไวรัส ได้แก่ โอเซลทามิเวียร์ป้องกัน ผู้ใหญ่กินขนาด 75 มก. (เด็กใช้ขนาดครึ่งหนึ่งของที่ใช้ในการรักษา) วันละครั้ง นาน 7-10 วัน

6. สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข

    ในกรณีที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วย ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ (ถ้าหากเป็นพร้อมกับไข้หวัดนก ก็อาจเสี่ยงต่อการทำให้มีการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรม จนกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดนกที่แพร่จากคนสู่คนได้ง่าย)
    ทุกครั้งที่ให้การดูแลผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรสวมหน้ากากอนามัย แว่นตาป้องกันการติดเชื้อ และเสื้อกาวน์ รวมทั้งหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่
    ถ้ามีการสัมผัสผู้ป่วยไข้หวัดนก โดยไม่ได้ทำตามมาตรการป้องกันดังกล่าว ควรกินยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ขนาด 75 มก. วันละครั้ง นาน 7-10 วัน
    เมื่อมีการสัมผัสผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรเฝ้าระวังสังเกตอาการและวัดไข้ทุกวัน จนพ้นระยะฟักตัวของโรค หากมีอาการน่าสงสัย ควรรีบทำการตรวจวินิจฉัย และอาจจำเป็นต้องให้ยารักษาแต่เนิ่น ๆ


การป้องกันและควบคุมโรคระบาดในสัตว์ปีก

1. ป้องกันไม่ให้นกอพยพและสัตว์พาหะอื่น ๆ เข้ามาในฟาร์ม

2. นำไก่อายุเดียวกันเข้าฟาร์มมาทีละชุด และควรแยกขังสัตว์ที่นำเข้ามาใหม่ไว้ก่อนจนพ้นระยะฟักตัวของโรค

3. ดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อเข้ามาในฟาร์มอย่างเข้มงวด เช่น ไม่นำวัสดุรองพื้น ถาดไข่ และวัสดุอุปกรณ์จากพื้นที่ระบาดมาใช้ ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อตามยานพาหนะ วัสดุ อุปกรณ์

4. ฉีดวัคซีนป้องกันเฉพาะในสัตว์ปีกที่มีราคาแพง เช่น สัตว์ปีกสวยงาม ไก่ชน

5. เฝ้าระวังโรคในสัตว์ปีกอย่างใกล้ชิด ถ้าสงสัยสัตว์ปีกป่วยเป็นไข้หวัดนก (มีอาการไข้ หงอยซึม ไม่กินอาหาร ขนยุ่ง หน้า หงอน และเหนียงบวม และมีสีแดงคล้ำ มีจุดเลือดออกที่หน้าแข้ง ไอ จาม น้ำมูกไหล อาจมีอาการท้องเสีย ชัก และลดการไข่ หรือไข่มีลักษณะผิดปกติ ตายอย่างรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง) ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อดำเนินการควบคุมโรค ดังนี้

    ในฟาร์มที่มีการระบาด ต้องทำลายสัตว์ปีกทั้งหมด รวมทั้งสัตว์ปีกในพื้นที่ควบคุมรัศมี 1-5 กม.
    เก็บตัวอย่างมูลสัตว์ (cloacal swab) ในพื้นที่ควบคุมส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
    ซากไก่ เป็ด ไข่ รวมทั้งมูลสัตว์ในพื้นที่ระบาดต้องทำลายทิ้งทั้งหมดด้วยการฝังหรือเผา ห้ามนำมาบริโภค หรือนำไปทำปุ๋ย หรือเลี้ยงสัตว์

วิธีฝัง ให้ใส่ซากสัตว์ในถุงพลาสติก รัดปากถุงให้แน่น ฝังให้ห่างจากบ่อน้ำหรือแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างน้อย 30 เมตร ฝังซากให้ลึกอย่างน้อย 1 เมตร แล้วโรยปูนขาวหรือราดน้ำยาฆ่าเชื้อ หรืออาจใช้น้ำเดือดราดที่ซากก่อนกลบดินให้แน่น

    ทำความสะอาด และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วโรงเรือนและบริเวณโดยรอบอย่างสม่ำเสมอ
    ห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ปีก และเฝ้าระวังการติดเชื้อในพื้นที่ควบคุมรัศมี 50 กม.
    กรณีที่ต้องการเก็บซากสัตว์เพื่อทำลาย หรือส่งตรวจชันสูตร ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน (เช่น ถุงมือ หน้ากากอนามัย) เมื่อเสร็จงานแล้ว ควรนำอุปกรณ์และเสื้อผ้าไปทำความสะอาดด้วยน้ำที่ผสมผงซักฟอก ผึ่งแดดให้แห้ง เสร็จแล้วต้องรีบล้างมือ และอาบน้ำชำระร่างกายด้วยน้ำกับสบู่ทันที
    ในพื้นที่ที่เกิดโรคระบาด ห้ามนำสัตว์ปีกเข้ามาเลี้ยงใหม่จนกว่าจะตรวจสอบไม่พบการติดเชื้อเป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน


ข้อแนะนำ

1. เนื่องจากโรคนี้มีอาการคล้ายไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ แต่มีอันตรายร้ายแรงกว่ากันมาก เนื่องจากเกิดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งคนเรายังขาดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้ ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยที่มีอาการไข้หรือเป็นไข้หวัด และมีประวัติว่ามีการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย หรือผู้ป่วยไข้หวัดนก ภายใน 7 วันก่อนไม่สบาย หรืออยู่ในพื้นที่ที่เกิดการระบาดของไข้หวัดนกภายใน 14 วันก่อนไม่สบาย ก็ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว หากเป็นโรคนี้ควรได้ยาต้านไวรัสภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้

2. ผู้ที่สัมผัสสัตว์ปีก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไก่หรือเป็ด) ที่ป่วยหรือตาย หรือผู้ป่วยไข้หวัดนก ควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากเป็นไปได้ควรทำการวัดไข้ด้วยปรอททุกวัน วันละ 2 ครั้ง จนพ้นระยะฟักตัวของโรค

3. แม้ว่าในปัจจุบันการติดเชื้อจากคนที่เป็นไข้หวัดนกโดยตรงนั้นยังเกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งต้องอยู่สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด แต่เพื่อความปลอดภัย แพทย์ บุคลากรสาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วย จะต้องป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อจากผู้ป่วย (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านบน)

4. ถึงแม้ในปัจจุบันไม่มีรายงานการเกิดผู้ป่วยไข้หวัดนก แต่ควรติดตามเฝ้าระวัง หากมีผู้ป่วยเกิดขึ้นใหม่จะได้ระมัดระวังหาทางป้องกันไม่ให้เป็นโรคร้ายแรงชนิดนี้

11
รถไฟฟ้า ev เอ็กซ์เผิง Xpeng X9 Premium ปี 2025
2,399,000 บาท 

เอ็กซ์เผิง Xpeng X9 Premium ปี 2025
Xpeng X9 Premium รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ Ultra Smart Coupe MPV ซึ่งเป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศจีน ที่เพิ่งฉลองการส่งมอบให้ลูกค้าไปแล้วกว่า 20,000 คันหลังเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน โดยเป็นรถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะที่ลงตัวสำหรับทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการโดยสารที่มีความสะดวกสบายสูงสุด หรือขับเองเพื่อไปพักผ่อนกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนก็สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมาพร้อมความฉลาดล้ำเหนือระดับ กับระบบ AI (Artificial Intelligence) อัจฉริยะ เพื่อเจาะกลุ่มผู้ชื่นชอบความล้ำสมัยและนวัตกรรมใหม่ๆ แห่งอนาคต พร้อมเปิดรับจองสิทธิ์ ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ SiC Architecture รองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุดถึง 330 กิโลวัตต์ โครงสร้างตัวถังสถาปัตยกรรม SEPA2.0 รูปลักษณ์ได้แรงบันดาลใจจากยานอวกาศ (Starship) ห้องโดยสารกว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 7.7 ตารางเมตร เพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้งานมากยิ่งขึ้น กับ Walkthrough Access ช่องทางเดินกลางห้องโดยสาร เบาะหนังพรีเมียม เบาะนั่งแถวสองปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง เทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ รองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุดถึง 283 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ LFP ขนาด 84 กิโลวัตต์ ชาร์จไฟเต็มขับได้ไกลสุด 580 กิโลเมตร (NEDC)

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                    Xpeng
   รุ่น                         เอ็กซ์เผิง Xpeng X9 Premium ปี 2025
   ประเภทรถ                รถอเนกประสงค์ MPV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว                 2025
   ราคา                      2,399,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
อุปกรณ์ชุดแต่ง (ได้แรงบันดาลใจงานออกแบบจากยานอวกาศ Starship)
หลังคาแก้ว (แบบ Panoramic Glass Roof (พร้อมฉนวนกันความร้อนและรังสี UV))
ระบบควบคุมระยะการจอด (,ระบบตรวจสอบระยะห่างด้านหน้า,เรดาห์ความละเอียดสูง 3,เซนเซอร์อัลตร้าโซนิค 12)
ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Dual-Chamber Air Suspension สามารถปรับขึ้น 40 มิลลิเมตร ปรับลง 50 มิลลิเมตร)
ไฟท้าย LED
ขนาดยางหน้า-หลัง (235/50R20)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (ระบบเลี้ยว 4 ล้อ Standard Active Rear Wheel Steering)
ล้ออัลลอย (20 นิ้ว)
ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบพิเศษ (อัตโนมัติ)
ไฟหน้า LED
ไฟ Daytime Running Lights (LED)
หลังคา (พาโนรามาสองตอนขนาด 1.21 ตารางเมตร ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมป้องกันความร้อนด้วยม่านบังแดดระบบไฟฟ้า)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
ระบบจดจำปรับที่นั่งคนขับ
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้ (,เข้า-ออกได้)
ภายในโทนสีดำ (และสีข่าว (ขึ้นอยู่กับสีภายนอก))
ม่านบังแดด
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (โต๊ะพับได้สำหรับผู้โดยสารแถวที่สอง,Walkthrough Access ช่องทางเดินกลาง ห้องโดยสาร)
อุปกรณ์วัดความเร็วสะท้อนกระจก Head Up Display (แบบพาโนรามาขนาด 35.95 นิ้ว)

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                 มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลัง 235 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร, ทำความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตร, อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 7.7  วินาที, รองรับการชาร์จ DC Fast Charging สูงสุด 283 kW

   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)       แรงม้า
   ระบบเกียร์                         เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS                   มี (ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB))
   ชนิดแบตเตอรี่                    ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่                  84 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง     580 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NDEC)
   น้ำหนักตัวรถ                             -
   ประเภทยางรถยนต์                      -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                     ล้ออัลลอย (20 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                     ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัย
  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
ตัวถังนิรภัย (Aluminum die-casting body ด้นหน้า-หลัง)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค (พร้อมระบบปลดล็อครถยนต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ)
กุญแจรีโมท (และกุญแจแบบคีย์การ์ด (NFC))
ไฟเบรกดวงที่ 3
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบควบคุมการเข้าโค้งอัตโนมัติแบบแปรผัน)
เข็มขัดนิรภัย (พร้อมเสียงเตือนคาดเข็มขัด)
กระจกนิรภัย (แบบ Privacy)
คานเหล็กเสริมนิรภัย
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน)
อื่นๆ (ระบบช่วยหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางอัตโนมัติ,ระบบตรวจสอบสัญญาณจารจร)
ระบบสั่งการด้วยเสียง (All-Scenario 6-Sound Zone Voice Interaction)
ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (แบบไร้คนขับ,ระบบช่วยจอดพร้อมกล้อง 360 องศา,ระบบจำลองการมองเห็นใต้ท้องรถ,ระบบอออกจากที่จอดรถอัตโนมัติ,ระบบนำรถออกจากช่องจอดในแนวตรง)
กล้อง (แสดงภาพรอบตัวรถ/กล้องบันทึกภาพด้านหน้า,กล้องตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ 13)
ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST)
เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking - IEB) (อัตโนมัติ)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW) (,ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนประตูขณะเปิด)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA) (,ระบบช่วยเตือนหากเสี่ยงต่อการโดนชนด้านหลัง)
เบรกมือไฟฟ้า (พร้อมฟังก์ชัน Auto Hold)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX แถวที่ 2 และ 3)
เสียงเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย
ระบบเตือนแรงดันลมยาง (ตรวจสอบและแสดงผล)
ADAS ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง
ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องทางจราจร (เลน) (,ระบบเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ,ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน,ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน,ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและออกนอกเลนขณะฉุกเฉิน)
ระบบเตือนการชนด้านหน้า (,ตรวจสอบระยะห่างด้านหน้า)

12
หมอออนไลน์: หวัดภูมิแพ้ (Allergic rhinitis)

หวัดภูมิแพ้ (เยื่อจมูกอักเสบเหตุภูมิแพ้ จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หวัดจากการแพ้ หวัดแพ้อากาศ โรคแพ้อากาศ ก็เรียก) หมายถึงเยื่อจมูกอักเสบที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ของร่างกาย จัดเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง* ซึ่งพบได้ในคนทุกวัย มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นหรือวัยเรียน พบได้ประมาณร้อยละ 10-25 ของคนทั่วไป จากการศึกษาในบ้านเราพบโรคนี้ในเด็กวัยเรียนประมาณร้อยละ 20-40

ผู้ป่วยมักมีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว (เช่น หืด ลมพิษ ผื่นคัน หวัดภูมิแพ้) และมักมีโรคภูมิแพ้อื่น ๆ (ที่สำคัญ คือ โรคหืด) ร่วมด้วย

โรคนี้มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี น่ารำคาญ อาจมีอาการกำเริบเป็นบางฤดูกาลหรืออาจเป็นประจำตลอดทั้งปี ทั้งนี้ขึ้นกับสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุ

ถ้าเกิดจากละอองเกสร หญ้า หรือวัชพืช เรียกว่า ไข้ละอองฟาง (hay fever)

*โรคภูมิแพ้ (allergic disorders) เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้ (allergen) แล้วปล่อยสารเคมี เช่น ฮิสตามีน (histamine) ไคเมส (chymase) พรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) ไซโตไคน์ (cytokine) ลิวโคทรีน (leukotriene) แบรดิไคนิน (bradykinin) เป็นต้น ออกมา ถ้าสารเหล่านี้มาแสดงปฏิกิริยาที่ผิวหนังก็ทำให้เป็นโรคแพ้ทางผิวหนัง เช่น ลมพิษ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นต้น ถ้าแสดงออกที่ตาก็กลายเป็นโรคเยื่อตาขาวอักเสบ ถ้าแสดงออกที่จมูกก็กลายเป็นหวัดภูมิแพ้ ถ้าแสดงออกที่หลอดลมก็กลายเป็นหืด

โรคภูมิแพ้มักมีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ คือ มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้อยู่ด้วย นอกจากนี้ ความเครียดทางจิตใจก็มีส่วนกระตุ้นให้อาการกำเริบได้

ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อาจแสดงออกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กันก็ได้ ในรายที่เกิดจากการแพ้อาหารอาจมีอาการปวดท้องท้องเดินร่วมด้วยได้ (ดูโรคลมพิษ)

สารก่อภูมิแพ้ ได้แก่ ไรฝุ่นบ้าน (dust mites) เชื้อรา ละอองเกสร หญ้า วัชพืช สัตว์เลี้ยงในบ้าน (โดยเฉพาะแมว) อาหาร (เช่น นม ไข่ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ถั่วลิสง สารกันบูด สีผสมอาหาร) ยา (แอสไพริน เพนิซิลลิน ซัลฟา ยาชา) ฝุ่นละออง ความเย็น ความร้อน แดด เชื้อแบคทีเรีย พยาธิ แมลง แมลงสาบ สารเคมี แอลกอฮอล์ เป็นต้น

ผู้ป่วยมักจะแพ้สารได้หลาย ๆ อย่าง และมีโอกาสแพ้ยาได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ จึงควรระมัดระวังในการใช้ยาสำหรับผู้ป่วยโรคนี้

การแพ้อาจเกิดขึ้นโดยการสัมผัส สูดดม กิน หรือฉีดเข้าร่างกายทางใดทางหนึ่ง

โรคภูมิแพ้ทุกชนิดรวมกันแล้ว พบได้ประมาณร้อยละ 30 ของคนทั่วไป


สาเหตุ

เกิดจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ เป็นผลให้มีการหลั่งสารเคมีหลายชนิดออกมาทำให้เกิดอาการคัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล

สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่ ละอองเกสร หญ้า วัชพืช สปอร์ของเชื้อราที่อยู่นอกบ้าน ทำให้เกิดอาการกำเริบในบางฤดูกาล ส่วนผู้ที่มีอาการตลอดปีมักเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ภายในบ้าน เช่น ไรฝุ่นบ้าน แมลงสาบ สัตว์เลี้ยง ฝุ่นละออง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการแพ้อาหาร (เช่น อาหารทะเล) ซึ่งมักจะพบร่วมกับโรคภูมิแพ้อื่น ๆ เช่น หืด ลมพิษ ผื่นคัน

ผู้ที่เป็นโรคหวัดภูมิแพ้ มักมีการตอบสนองไวเกินต่อสิ่งกระตุ้น (สิ่งระคายเคือง) เช่น กลิ่นฉุน ๆ บุหรี่ ควัน อาหารเผ็ด แอลกอฮอล์ อากาศเปลี่ยน ความชื้น ทั้งนี้โดยไม่เกี่ยวกับปฏิกิริยาภูมิแพ้แบบสัมผัสสารก่อภูมิแพ้


อาการ

มีอาการเป็นหวัด คัดจมูก จามบ่อย น้ำมูกมีลักษณะใส ๆ มักมีอาการคันในจมูก คันคอ คันตา น้ำตาไหล เจ็บคอ แสบคอ หรือไอแห้ง ๆ (แบบระคายคอ) ร่วมด้วย

บางรายอาจมีอาการปวดตื้อตรงบริเวณหน้าผากหรือหัวคิ้ว หรือปวดศีรษะ หูอื้อ หรือมีเสียงดังในหู (เนื่องจากท่อยูสเตเชียนตีบ) การรับรู้กลิ่นน้อยลง หรือหายใจมีกลิ่นเหม็น

อาการมักเกิดเวลาถูกอากาศเย็น ควัน ฝุ่นละออง สารก่อภูมิแพ้ หรือสิ่งกระตุ้นอื่น ๆ

บางรายอาจมีอาการตอนช่วงเช้า ๆ พอสาย ๆ ก็ทุเลาไปได้เอง

ในรายที่เป็นมากอาจมีอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ

บางรายอาจมีอาการของโรคหืดร่วมด้วย หายใจมีเสียงดังวี้ด หรือรู้สึกแน่นอึดอัดในหน้าอก


ภาวะแทรกซ้อน

โดยทั่วไปมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง 

ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจทำให้อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การเรียน การทำงาน

บางรายอาจเป็นโรคหืดร่วมด้วย

ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจกลายเป็นไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือติ่งเนื้อเมือกจมูก

เด็กบางรายอาจมีอาการนอนกรน และเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบเยื่อจมูกบวมและซีด หรือเป็นสีม่วงอ่อน ๆ ต่างจากไข้หวัด หรือไซนัสอักเสบ ซึ่งเยื่อจมูกจะมีลักษณะบวมและออกสีแดง มักพบน้ำมูกลักษณะใส ๆ (ถ้าน้ำมูกมีสีเหลืองหรือเขียว แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม หรือเป็นไซนัสอักเสบ)

บางรายอาจพบเยื่อตาขาวออกแดงเล็กน้อย

ในเด็กที่มีอาการคันจมูก จะยกมือขึ้นขยี้จมูกบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดรอยย่นที่สันจมูก (เรียกว่า allergic nasal line)

อาจพบผิวหนังบริเวณขอบตาล่างบวมและมีสีคล้ำ (เรียกว่า allergic shiners)

บางรายอาจพบติ่งเนื้อเมือกจมูก ใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงวี้ด (wheezing)

ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคให้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การใช้กล้องส่องตรวจภายในโพรงจมูก (nasal endoscopy), การตรวจอีโอซิโนฟิลในเลือด (พบมากกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมด) หรือในเสมหะ (พบมากกว่าร้อยละ 30), การทดสอบผิวหนัง (skin test) ดูว่าแพ้สารอะไร, เอกซเรย์ไซนัส (ดูว่ามีการอักเสบหรือไม่) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย เป็นช่วงสั้น ๆ เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน ตอนสาย ๆ หายได้เอง ก็ไม่จำเป็นต้องให้ยารักษา แต่ถ้ามีอาการน้ำมูกไหลมาก หรือไอจนน่ารำคาญ ให้กินยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน, ไดเฟนไฮดรามีน หรือยาแก้แพ้ที่ไม่ง่วง (เช่น ลอราทาดีน, เซทิริซีน เป็นต้น)

ถ้ามีอาการคัดจมูกมากหรือหูอื้อร่วมด้วย ให้กินยาแก้คัดจมูก เช่น สูโดเอฟีดรีน ควบด้วย

ถ้าไอมากให้กินยาระงับการไอ

ยาเหล่านี้ให้กินเมื่อมีอาการจนน่ารำคาญ หรือมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต เมื่ออาการดีขึ้นก็ให้หยุดยา แต่ถ้ากำเริบใหม่ก็ให้กินใหม่ บางคนที่เป็นอยู่ประจำทุกวัน ก็อาจต้องคอยกินยาไปเรื่อย ๆ

2. ให้การรักษาดังกล่าวแล้วไม่ได้ผล หรือเป็นเรื้อรัง (มีอาการมากกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ และมีอาการติดต่อกันนานกว่า 4 สัปดาห์) หรือรุนแรง (มีอาการนอนไม่หลับ นอนกรน มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีผลกระทบต่อการเรียน การงาน หรือคุณภาพชีวิต) แพทย์จะให้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกวันละ 1-2 ครั้ง

3. ถ้ารักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และรักษาด้วยยาหรือวิธีอื่น ๆ ในบางรายแพทย์อาจต้องทำการทดสอบผิวหนัง (skin test) ว่าแพ้สารอะไร แล้วให้การรักษาด้วยการขจัดภูมิไว (desensitization/hyposensitization) โดยการฉีดสารที่แพ้เข้าร่างกายทีละน้อย ๆ เป็นประจำทุก 1-2 สัปดาห์ นาน 3-5 ปี วิธีนี้จะได้ผลดีในรายที่แพ้ไรฝุ่นบ้าน เชื้อรา ละอองเกสร หญ้าวัชพืช ขุยหนังหรือรังแคแมว (cat dander) สำหรับเด็กวิธีนี้อาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหืดตามมาได้

ผลการรักษา ส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการได้ดีด้วยยาแก้แพ้และสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก แต่เมื่อหยุดยาก็อาจกำเริบได้อีก

ส่วนน้อยที่ต้องให้การรักษาด้วยยากลุ่มอื่น หรือวิธีอิมมูนบำบัด (การขจัดภูมิไว)

ในรายที่ดื้อต่อการรักษาอาจเกิดจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง หรืออาจมีโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หืด ติ่งเนื้อเมือกจมูก แพทย์จะปรับยาที่ใช้ให้เหมาะสม หรือรักษาโรคที่พบร่วม


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจหรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นหวัดภูมิแพ้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    สังเกตว่าเกิดจากสารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งกระตุ้นอะไร แล้วพยายามหลีกเลี่ยง เช่น มีอาการขณะกวาดบ้านหรือถูกฝุ่นก็แสดงว่าเกิดจากฝุ่น ถ้าเป็นขณะอยู่ในห้องนอนก็อาจเกิดจากไรฝุ่นบ้าน ถ้าเป็นขณะสัมผัสสัตว์เลี้ยงก็อาจเกิดจากสัตว์เลี้ยง เป็นต้น วิธีหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ (เช่น ไรฝุ่นบ้าน เชื้อรา สัตว์เลี้ยง ละอองเกสร ดูเพิ่มเติมในโรคหืด หัวข้อ "การป้องกัน ข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง")
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักผ่อนคลายความเครียด
    ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือตามคำแนะนำของแพทย์
    ใช้ยารักษาตามที่แพทย์แนะนำ เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก ยาแก้ไอ เป็นต้น

ควรไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการมากจนทำให้นอนไม่หลับ หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือทำให้ผู้ที่เป็นโรคหืดมีอาการหอบหืดกำเริบ
    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว 
    ปวดหน่วงตรงหัวคิ้วหรือโหนกแก้ม หรือสงสัยเป็นไซนัสอักเสบแทรกซ้อน
    มีเลือดกำเดาไหล ปวดหู หูอื้อ หรือคลำได้ก้อนที่ข้างคอ
    ใช้ยารักษา 1 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ (ดูเพิ่มเติมในโรคหืด หัวข้อ "การป้องกัน ข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง")

2. รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง โดยการบำรุงอาหารสุขภาพ (กินผักผลไม้ให้มาก ๆ) ออกกำลังกายเป็นประจำ (เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และผ่อนคลายความเครียด (เช่น ฝึกโยคะ รำมวยจีน สวดมนต์ ฝึกสมาธิ ฟังเพลง) ก็อาจมีส่วนช่วยให้โรคทุเลาได้


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง ไม่ค่อยหายขาด ถ้าอาการไม่มากพอทนได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรทั้งสิ้น ถ้าจำเป็นก็แนะนำให้ไปพบแพทย์และกินยาตามที่แพทย์แนะนำ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกายมีส่วนให้อาการห่างขึ้นหรือลดการใช้ยาลงได้

2. ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการซื้อยาชุดหรือยาลูกกลอนกินเอง เพราะมักมียาสเตียรอยด์ผสม แม้ยานี้จะช่วยให้อาการทุเลาได้ แต่ถ้ากินไปนาน ๆ ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนตามมาหลายอย่าง ซึ่งอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้

3. การใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่มีความจำเป็นในการรักษาโรคนี้เพราะไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ยกเว้นในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ หรือหูชั้นกลางอักเสบ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ในการใช้ยาชนิดนี้

4. ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาพ่นจมูก ควรให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาสั่งใช้ เพราะยาบางชนิดที่เข้ายาแก้แพ้หรือแก้คัดจมูก เมื่อหยอดบ่อยเกินไป ก็อาจทำให้เยื่อจมูกอักเสบมากยิ่งขึ้น

5. ในกรณีเป็นหวัด คัดจมูก โดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจนนานเกิน 2 สัปดาห์ ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุ (ตรวจอาการ คัดจมูก/น้ำมูกไหล ประกอบ)

13
จัดฟันบางนา: หลายคนไม่รู้ การจัดฟันแบบใส จำเป็นต้องใส่เครื่องมือตลอดวันหรือไม่

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณี โดยเฉพาะฟันที่มีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างหรือการขึ้นของฟันที่มีความผิดปกติ เช่นฟันห่าง ฟันซ้อน ฟันเก ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกเสียความมั่นใจเวลาที่ยิ้มหรือพูดคุยก็อาจจะทำให้รู้สึกไม่มั่นใจจนเสียบุคลิกภาพได้ ดังนั้น เรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เราจึงต้องดูแลรักษาความสะอาด และเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะถ้าเรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดีแล้ว อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งหลายคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟันก็เลือกใช้วิธีการเข้ารับการจัดฟัน เพื่อแก้ไขปัญหาและทำให้มีบุคลิกภาพที่มั่นใจมากยิ่งขึ้น


นอกจากการจัดฟันที่มีรูปแบบทั่วไปที่เรามักจะเห็นกันได้บ่อยนั่นก็คือ การจัดฟันแบบใส่เหล็กจัดฟัน โดยการจัดฟันในลักษณะนี้ก็ได้รับความนิยมมากในหมู่วัยรุ่นและยังถือเป็นเทรนยอดฮิตในวัยรุ่นยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทางทันตกรรมนั้น ก็มีความก้าวหน้าไปมาก จึงทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ขึ้น เช่น การจัดฟันแบบใส ซึ่งจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบใหม่ที่เครื่องมือมีลักษณะเป็นแบบใส สามารถมองเห็นได้ยาก ทำให้การจัดฟันแบบใสนั้นได้รับความนิยมในหมู่วัยทำงาน รวมไปถึงกลุ่มดารา นักแสดง เพื่อทำให้มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติและสามารถมองเห็นเครื่องมือได้ยากจึงทำให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้การจัดฟันแบบใสยังมีจุดเด่นก็คือสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันได้ขณะรับประทานอาหารและขณะทำความสะอาดช่องปากและฟัน ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นที่ทำให้หลายคนตัดสินใจเลือกเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั่นเอง

สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเครื่องมือของการจัดฟันแบบใส ซึ่งหลายคนได้เกิดข้อสงสัยว่า ถ้าหากเราเข้ารับการจัดฟันแบบใสแล้ว เราจำเป็นที่ต้องสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสตลอดทั้งวันหรือไม่ ซึ่งอย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่า จุดเด่นของการจัดฟันแบบใสนั้น ก็คือ ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันแบบใสได้ขณะรับประทานอาหารและขณะแปรงฟัน ดังนั้น การสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ตลอดทั้งวัน แต่ก็ควรสวมใส่อย่างน้อยวันละ 20-22 ชั่วโมงหรือขณะรับประทานอาหารและแปรงฟัน สำหรับใครที่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารแบบกินจุกจิก ก็ต้องบอกเลยว่าค่อนข้างเป็นอุปสรรคนิดหน่อย เพราะขณะที่คุณรับประทานอาหาร คุณจะต้องถอดเครื่องมือออกทุกครั้ง เพื่อให้เครื่องมือเกิดความเสียหายหรือเกิดรอย


ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เครื่องมือการจัดฟันมีกลิ่นหรือคราบสกปรกได้ ดังนั้น ใครที่ชอบรับประทานอาหารแบบจุกจิกและรับประทานตลอดทั้งวัน ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้เป็นเวลาเพื่อที่จะสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องมีวินัยในการสวมใส่เครื่องมือเพราะถ้าหากไม่สวมใส่เครื่องมือตามที่ทันตแพทย์แนะนำ ก็อาจจะทำให้ผลการรักษาเกิดการคลาดเคลื่อนหรือนำไปสู่การล้มเหลวในการจัดฟันได้ และอาจจะต้องยืดระยะเวลาในการจัดฟันให้นานไปอีก ซึ่งอาจจะทำให้เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ เพราะฉะนั้น การมีวินัยในการสวมใส่เครื่องมือถือเป็นเรื่องที่ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด

แต่อย่างไรก็ตาม การจัดฟันแบบใสก็มีข้อดีไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะการถอดเครื่องมือการจัดฟันขณะแปรงฟันนั้นจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีเครื่องมือการจัดฟันมาทำให้การทำความสะอาดฟันของคุณนั้นไม่ทั่วถึง ทั้งนี้ ยังส่งผลให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง เนื่องจากได้รับการทำความสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ


สำหรับใครที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใสสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์อย่างยาวนาน ผ่านการอบรมในด้านการจัดฟันแบบใสโดยตรง นอกจากนี้ทางคลินิกยังมีโปรโมชั่นสำหรับผู้ที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใสโดยมีราคาเริ่มต้นที่ 49,000 บาท จากราคาปกติ 69,000 บาท

14
ควรเลือกผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน

การเลือกผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผ้ากันไฟมีประสิทธิภาพในการป้องกันอันตรายจากไฟและสะเก็ดไฟได้อย่างเหมาะสม โดยมีปัจจัยที่ควรพิจารณาดังนี้:

1. ลักษณะการใช้งาน
งานเชื่อม งานเจียร หรือตัดโลหะ:
ควรเลือกผ้ากันสะเก็ดไฟที่มีความหนาและทนทานต่อสะเก็ดไฟและความร้อนสูง
หากต้องเจอกับสะเก็ดไฟจากงานตัดเหล็กขนาดใหญ่ ควรเลือกผ้าซิลิกา

ดับไฟขนาดเล็ก:
เลือกผ้าห่มดับไฟที่คลุมหรือห่อหุ้มวัตถุที่กำลังลุกไหม้ได้มิดชิด
ควรเลือกผ้าห่มดับไฟที่มีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ที่ต้องการป้องกัน

กั้นแบ่งพื้นที่:
เลือกม่านกันไฟที่กั้นการลามของไฟได้ดี และมีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่
ควรเลือกม่านกันไฟที่มีความทนทานต่อเปลวไฟและควัน

หุ้มฉนวน:
เลือกฉนวนกันความร้อนที่หุ้มท่อหรืออุปกรณ์ได้แน่นหนา
ควรเลือกฉนวนกันความร้อนที่มีความทนทานต่ออุณหภูมิสูงและสารเคมี

2. อุณหภูมิ
เลือกผ้ากันไฟที่ทนอุณหภูมิได้ตามที่ต้องการ
หากต้องเจอกับความร้อนสูงมาก ควรเลือกผ้าซิลิกา
หากอุณหภูมิทั่วไป เลือกใช้ผ้าใยแก้วก็เพียงพอ

3. งบประมาณ
ผ้ากันไฟมีหลายราคา ควรเลือกผ้าที่มีคุณภาพดีและเหมาะสมกับงบประมาณ

4. ความทนทาน
หากต้องการความทนทานต่อการฉีกขาด ควรเลือกผ้าเคฟลาร์

5. คุณสมบัติเพิ่มเติม
หากต้องการกันน้ำหรือสารเคมี ควรเลือกผ้าที่เคลือบสารพิเศษ

ประเภทของผ้ากันไฟและการเลือกใช้

ผ้ากันสะเก็ดไฟ:
ใช้ในงานเชื่อม งานเจียร หรือตัดโลหะ
ควรเลือกผ้าที่มีความหนาและทนทานต่อสะเก็ดไฟ
ถ้าต้องเจอกับสะเก็ดไฟจากงานตัดเหล็กขนาดใหญ่ ควรเลือกผ้าซิลิก้า

ผ้าห่มดับไฟ:
ใช้ดับไฟขนาดเล็กในครัวเรือน หรือในรถยนต์
ควรเลือกผ้าที่คลุมหรือห่อหุ้มวัตถุที่กำลังลุกไหม้ได้มิดชิด

ม่านกันไฟ:
ใช้กั้นแบ่งพื้นที่ในโรงงาน หรือในอาคาร
ควรเลือกม่านที่กันไฟลามได้ดี และมีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่

ฉนวนกันความร้อน:
ใช้หุ้มท่อหรืออุปกรณ์ต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม
ควรเลือกฉนวนที่ทนความร้อนได้ดี และมีขนาดเหมาะสมกับท่อหรืออุปกรณ์

ตัวอย่างการเลือกผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับงาน
งานเชื่อมทั่วไป: เลือกผ้าใยแก้วสีทองหนา 0.9 มม. น้ำหนัก 890 กรัม/ตร.ม.
งานตัดเหล็กขนาดใหญ่: เลือกผ้าซิลิก้า
ดับไฟขนาดเล็กในครัวเรือน: เลือกผ้าห่มดับไฟขนาด 1 เมตร x 1 เมตร หรือ 1.2 เมตร x 1.8 เมตร
กั้นแบ่งพื้นที่ในโรงงาน: เลือกม่านกันไฟที่มีขนาดเหมาะสมกับช่องเปิด
หุ้มท่อที่มีความร้อนสูง: เลือกฉนวนกันความร้อนที่ทำจากผ้าซิลิกา

การเลือกผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน จะช่วยให้คุณปลอดภัยจากอันตรายจากไฟและสะเก็ดไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

15
จัดฟันบางนา: วิธีการเลือกคลินิกทันตกรรม สำหรับการจัดฟันแบบใส

หลายคนมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งมีผลมาจากการที่เราละเลยในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปาก ทำให้เรามีปัญหาในเรื่องของฟันผุ หรือเกิดโรคเกี่ยวกับช่องปาก ซึ่งหลายคนมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่หารู้ไม่ว่า การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟัน ถือเป็นเรื่องที่เราทุกคนจะเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาช่องปากและฟัน แต่หลายคนที่เอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน และเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นประจำ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะนั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพฟันเป็นอย่างมาก

แต่อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากไม่แพ้เรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันนั่นก็คือ การเลือกคลินิกทันตกรรมที่จะเข้ารับบริการ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับแรกๆที่เราจะต้องเลือกสรรเพื่อเข้ารับบริการ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เมื่อเราเข้ารับบริการจากทางคลินิกแล้วจะทำให้มีผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและจะทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี อยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการเลือกสถานที่ที่จะเข้ารับการบริการ สำหรับเข้ารับการจัดฟันแบบใส หลายคนที่คิดที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส ก่อนตัดสินใจเข้ารับการจัดฟัน ควรศึกษาข้อมูลของการจัดฟันแบบใส

รวมไปถึงทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาด้วย ก่อนเข้ารับการจัดฟันเราจะต้องทราบถึงมาตรฐานและการรับรองของสถานที่ที่จะเข้ารับการบริการว่าผ่านมาตรฐานและได้รับการรับรองหรือไม่ และที่สำคัญต้องศึกษาหาข้อมูลว่า คลินิกนั้นมีเครื่องมือที่ทันสมัย พร้อมที่จะให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานหรือไม่ เพราะคลินิกที่มีเครื่องมือที่ทันสมัยนั้น จะทำให้ผลการรักษามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ทำให้การรักษามีความปลอดภัย นอกจากนี้ในเรื่องของความสะอาดของสถานที่เข้ารับบริการควรจะมีความสะอาดเป็นอย่าง เพราะบ่งบอกได้ถึงความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยของผู้เข้ารับบริการ สำหรับการเลือกคลินิกหรือสถานที่การเข้ารับบริการ สำหรับการรับการจัดฟันแบบใสนั้น จะต้องเลือกคลินิกที่ได้การรับรองมาตรฐานจากทางสถาบันที่สหรัฐอเมริกา

เพราะในการบริการในเรื่องของการเข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น ทันตแพทย์ที่เป็นผู้เข้ารับการรักษาจะต้องผ่านการอบรมและได้รับการรับรองจากสหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะได้มีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการบริการ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะหลายคนอาจจะกลัวในการเข้ารับการตรวจฟัน ดังนั้นในเรื่องของการบริการจึงถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน เพราะจะทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกสบายใจ ไม่มีความกังวล เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่กลัวทันตแพทย์ เพราะกลัวเจ็บ หรือกังวลในเรื่องอื่นๆ ดังนั้น การเลือกคลินิกเพื่อเข้ารับบริการจึงมีความสำคัญ ทางคลินิกของเราใส่ใจในเรื่องของการบริการมาเป็นอันดับแรก เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกสบายใจ ไม่มีความกังวล รู้สึกผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกอยากที่เข้ารับการบริการในครั้งต่อไป

นอกจากนี้ ทางคลินิกเรายังมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ รวมไปถึงทันตแพทย์ที่คอยให้คำปรึกษาเพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างตรงจุด ทันแพทย์ของทางคลินิกยังมีความเชี่ยวชาญและได้การรับรองจากสถาบันให้สามารถให้บริการในเรื่องของการจัดฟันแบบใส มีความชำนาญในการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ โดยทางเรามีโปรโมชั่นสำหรับการจัดฟันแบบใส โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 49,000 บาท จากราคาปกติ  69,000 บาท เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและหันที่แข็งแรง มีบุคลิกภาพที่ดี รู้สึกมั่นใจเวลายิ้ม ส่งเสริมบุคลิกภาพให้ดูดีมากยิ่งขึ้น

หน้า: [1] 2 3 ... 26






















































อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์
ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
ไม่รู้จะขายอะไรดี

เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี
โปรโมทเพจร้านค้า
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี

กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
ทำ SEO ติด Google
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี
วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด

โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย